6 ธ.ค. 2553

เสน่ห์จันทน์

เสน่ห์จันทน์

ขนมชื่อไพเราะเพราะพริ้ง ที่หลายคนอาจจะไม่เคยทาน เสน่ห์จันทน์ นั้นเป็นขนมที่ทำเลียนแบบรูปทรงของผลไม้ได้แก่ลูกจันทร์ มีขั้วน่ารักน่าทาน

ส่วนผสม
แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1 ถ้วย
แป้งเท้ายายม่อม 1 ช้อนชา
ไข่ไก่ (ใช้เฉพาะไข่แดง) 6 ฟอง
กะทิ (มะพร้าวขูดขาว 200 กรัม) 1 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
ลูกจันทน์ป่น 1 ช้อนชา
สีผสมอาหารสีน้ำตาล

วิธีทำ
1. ใส่กะทิกับน้ำตาลลงในกระทะทอง ตั้งไฟให้เดือด ยกลง นำไปกรองด้วยผ้า ขาวบาง นำขนตั้งไฟกลาง นานประมาณ 10 นาที ยกลง ทิ้งไว้ให้เย็น
2. ร่อนแป้งสาลี แป้งเท้ายายม่อม และลูกจันทน์ป่น เข้าด้วยกัน 2 ครั้ง นำไป ผสมกับกระทิที่เย็นแล้ว (ส่วนผสมข้อ 1) คนให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเนียน
3. ใสไข่แดงลงในแป้งคนให้เป็นเนื้อเดียวกัน นำขึ้นตั้งไฟ กวนไฟอ่อนๆ จน แป้งสุก เนื้อเนียนเป็นเงามัน ยกลง ทั้งให้เย็น
4. นำแป้งมาปั้นเป็นก้อนกลมเล็กๆ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5 ซม. กดให้ แบนเล็กน้อยเพื่อนำขั้วมาติด
5. ทำขั้วลูกฉันทน์ โดยนำแป้งที่กวนมา 1 ซ้อนโต๊ะ ผสมสีน้ำตาล เข้าด้วยกัน ปั้นเป็นก้อนแบนเล็กติดเป็นขั้วเสน่ห์จันทน์

15 พ.ย. 2553

ขนมชั้น

ขนมชั้น
ขนมชั้น
ขนมชั้น เป็นขนมไทยโบราณที่ใช้ในงานพิธีมงคลต่าง เพราะความเชื่อแบบไทยๆว่าจะต้องหยอดขนมให้ได้ 9 ชั้น จึงจะเป็นศิริมงคลเจริญก้าวหน้าแก่เจ้าภาพ
ส่วนผสมของขนมชั้น ส่วนใหญ่จะเป็นกะทิ และน้ำตาล แป้ง 3 - 4 ชนิด แล้วแต่สูตรและความชอบเนื้อขนมชั้นในแต่ละแบบ ซึ่งแป้งแต่ละอย่างก็จะมีคุณสมบัติทำให้ขนมมีเนื้อต่างกัน
ขนมชั้นในสูตรโบราณกับสูตารปัจจุบันนั้นจะมีความแตกต่างกันทั้งสีสันและรูปร่าง ปัจจุบันจะนินมที่สีสันสอสวย ดึงดูดตาดูน่ากิน

ส่วนผสมของขนมชั้น
แป้งถั่วเขียว 2 ช้อนโต๊ะ
แป้งท้าวยายม่อม 1 ถ้วย
แป้งข้าวเจ้า 2 ช้อนโต๊ะ
แป้งมัน 2 ถ้วย
หัวกะทิ 4 ถ้วย
น้ำตาลทราย 3 ถ้วย
น้ำลอยดอกมะลิ 1 ถ้วย
หางกะทิ 3 ถ้วย

สีธรรมที่ได้จากชาติ ได้แก่ ใบเตย ดอกคำฝอย หรือดอกอัญชัน ฯลฯ
การคั้นสีต่างๆ
สีเขียวใบเตย:นำใบเตยสดมาปั่นบีบเอาแต่น้ำนำมากรองด้วยผ้าขาวบาง
สีเหลืองดอกคำฝอย:นำดอกคำฝอยไปแช่น้ำร้อน กรองเอาแต่น้ำ
สีม่วงดอกอัญชัน:นำดอกอัญชันมาปั่นหรือตำให้ละเอียดคั้นเอาแต่น้ำ
สีขาวใส:ไม่ต้องผสมสีอะไร


วิธีทำ :

1. เริ่มจากการเชื่อมน้ำเชื่อมก่อน โดยใช้น้ำเปล่า 1 ถ้วย + น้ำตาลทราย 3 ถ้วย
2. นำแป้งทั้ง 4 ชนิดมาผสมรวมกัน แล้วนวดกับหัวกะทิ โดยค่อย ๆ ใส่กะทิทีละน้อย ๆ นวดไปเรื่อย ๆ จนกะทิหมด พอให้แป้งติดหลังมือเท่านั้น
2. เมื่อนวดได้ที่แล้ว นำแป้งที่ได้ไปละลายกับหางกะทิและน้ำเชื่อม ใช้กระบวยคนไปเรื่อย ๆ จนละลายเป็นเนื้อเดียวกัน
3. แยกแป้งออกเป็น 2 ส่วนเท่า ๆ กัน ใส่ส่วนที่เป็นสีลงไป ได้แก่ สีจากน้ำใบเตย และอีกส่วนหนึ่งอาจจะไม่ใส่สีก็ได้ หรืออาจจะดัดแปลงเป็นหลายๆสีก็แบ่งแป้งออกเป็นหลายๆส่วนตามจำนวนชั้นของสีขนม
4. นำถาดไปนึ่งแล้วทาน้ำมันให้ทั่ว ใส่แป้งสีขาวประมาณ 1/2 ถ้วย แล้วนึ่งให้สุกประมาณ 5 นาที ชั้นที่ 2 ใส่สีเขียวใบเตย แล้วนึ่งอีกประมาณ 5 นาที ทำเช่นนี้ไปจนหมดแป้ง แล้วให้ชั้นสุดท้ายเป็นสีเข้มกว่าชั้นอื่น ๆ เมื่อสุกยกลงทิ้งให้เย็น แล้วตัดเป็นชิ้นตามต้องการ

การนึ่งขนมชั้น :
1. ใส่น้ำในลังถึงยกขึ้นตั้งไฟ พอน้ำเดือดให้เรียงภาชนะที่จะใส่ขนมชั้นลงไป
2. ตักแป้งขนมชั้นส่วนที่เป็นสีขาวลงไปในชั้นแรก ปิดฝานึ่งให้ประมาณ 5-7 นาที
3. หยอดแป้งชั้นที่สองซึ่งเป็นสีลงไปนึ่งต่ออีก ทำแบบนี้สลับกันจนครบตามจำนวนชั้น ซึ่งเป็นชั้นสุดท้ายปิดหน้าด้วยสีที่สวยงาม
4. เมื่อขนมชั้นสุกได้ที่แล้วก็ปิดไฟ รอให้เย็น
5. ตัดแบ่งเป็นชิ้นให้ทำเป็นรูปร่างต่างๆ อาจจะใช่พิมส์แบบต่างๆกดตัดเป้นรูปที่สวยงาม

16 ส.ค. 2553

ซ่าหริ่ม

ซ่าหริ่ม
ซ่าหริ่ม
ซ่าหริ่มเป็นขนมไทยรสชาติหอมมัน อร่อยด้วยเส้นที่เหนียวนุ่ม ต้องมาจากกะทิที่คั้นสดตามแบบขนมไทย

ส่วนผสม
•แป้งซาหริ่ม 1 ถ้วย
•น้ำใบเตยคั้นข้นๆ 1/2 ถ้วย
•น้ำเปล่า 5 ถ้วย
•พิมพ์ สำหรับ กด

ส่วนผสมน้ำกะทิ
•หัวกะทิ 2 ถ้วย
•น้ำตาลทราย 2 ถ้วย
•ผสมน้ำตาล หัวกะทิ คนจนน้ำตาลละลาย กรองด้วยผ้าขาวบาง นำไปอบควันเทียนให้หอม


วิธี ทำ
ผสมแป้งซ่าหริ่ม น้ำ น้ำใบเตย เข้าด้วยกัน กรองด้วยผ้าขาวบาง ใส่
กระทะทอง ตั้งไฟกลาง กวนแป้งสุก รีบตักใส่พิมพ์ กดเป็นเส้นลงในน้ำเย็นจน
หมด เทใส่ผ้าขาวบาง ทำให้สะเด็ดน้ำ ใส่น้ำแข็งพักไว้

เวลากินให้ ตักซ่าหริ่มใส่ถ้วย ใส่น้ำกะทิ น้ำแข็ง เสิร์ฟได้ทันที

11 ส.ค. 2553

มะพร้าวแก้ว

มะพร้าวแก้ว
มะพร้าว แก้ว
มะพร้าวแก้วเป็นขนมไทยที่หลายๆคนอาจจะไม่คุ้นเคย ส่วนประกอบหลักๆมาจากมะพร้าวทึนทึกและน้ำตาล เป็นขนมไทยที่มีรสหวานหอม อร่อย
ส่วนผสม
มะพร้าวทึนทึกขูดเป็นเส้น 2 ถ้วย
น้ำตาลทรายขาว 1 ถ้วย
น้ำลอยดอกมะลิ 1/4 ถ้วย
สีผสมอาหาร

สิ่งที่ต้องเตรียม
ช้อน, ถาด

วิธีทำ
1. กระทะทองตั้งไฟ ใส่น้ำตาล น้ำลอยดอกมะลิ จนน้ำเชื่อมเริ่มเหนียว
เป็นยางมะตูม ใส่สีผสมอาหารตามต้องการ คนให้เข้ากันทั่ว
2. ใส่มะพร้าวทึนทึก คนจนน้ำเชื่อมจับเส้นมะพร้าว ยกลง ใช้ช้อนเล็กๆ 2 คัน
ตักมะพร้าวตะล่อมให้เป็นก้อนเล็กๆ ซึ่งลมจนแห้ง เก็บใส่กล่อง อบด้วยดอกมะลิสดอีกครั้ง

**หมายเหต
1. มะพร้าวแก้วถ้าใส่สีต้องให้มีสีอ่อนๆ หอมกลิ่นดอกไม้ ผิวนอก
แห้งแต่ภายในยังมีความชุ่มน้ำเชื่อม รสหวานมันและหอม
2. การใส่สีต้องใส่ขณะน้ำเชื่อมร้อน คนให้สีเข้ากันทั่ว ใส่มะพร้าวทึนทึก
3. มะพร้าวทึนทึก ถ้าอ่อนเกินไปจะดูดน้ำเชื่อมได้น้อยก็ต้องเพิ่มปริมาณมะพร้าว แต่ถ้าแก่เกินไปก็ดูดน้ำเชื่อมมาก น้ำเชื่อมจะแห้งก็ต้องเพิ่มน้ำตาล

5 ส.ค. 2553

ขนมน้ำดอกไม้



ขนมน้ำดอกไม้
ขนมน้ำดอกไม้เป็นขนมไทยที่ชื่อไม่คุ้นสำหรับใครหลายคน บางคนอาจจะยังไม่เคยกิน สมัยนี้อาจจะหากินยากสักหน่อย

ส่วน ผสม
แป้งเท้ายายม่อม 1 ช้อนโต๊ะ
แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย
น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วย
น้ำปูนใส 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำลอยดอกมะลิ 1 3/4 ถ้วย
ถ้วยตะไลสำหรับใส่ขนม

วิธี ทำ
1. ให้นำ น้ำลอยดอกมะลิ น้ำตาล ลงในหม้อ ตั้งไฟ คนๆให้น้ำตาลละลาย พอเดือดให้ยกลง
กรองน้ำเชื่อมผ่านผ้าขาวบางให้สะอาด แล้วทิ้งไว้ให้เย็น จะได้น้ำเชื่อม
2. ใส่แป้งข้าวเจ้า แป้งเท้ายายม่อม ลงในชามผสม ใส่น้ำปูนใสและน้ำเชื่อมทีลงไปละน้อย จากนั้นนวดแป้งจนรวมตัวเป็นก้อน หยดใส่น้ำเชื่อม นวดต่อไปเรื่อยๆจนแป้งเหนียว ใส่น้ำเชื่อมที่เหลือจนหมด นำไปกรอง จากนั้นหมักแป้งไว้ 1 ชั่วโมง
3. ใส่น้ำในลังถึง ตั้งไฟให้เดือด แล้วนำถ้วยตะไลไปนึ่งให้ร้อนจัด แล้วใส่แป้งลงไป จากนั้นปิดฝาลังถึงแต่ไม่ต้องปิดสนิท
4. ใส่แป้งให้เต็มถ้วย นึ่งนานประมาณ 3 นาที พอหน้าขนมเริ่มบุ๋ม เบาไฟลง
นึ่งต่ออีกประมาณ 15 นาที
***ถ้าต้องการทำให้ขนมบุ๋มตรงกลางมากๆ ให้เทแป้งออกหลังจากนึ่ง พอแป้ง
จับขอบถ้วยก็เปิดฝา

23 ก.ค. 2553

สังขยาฟักทอง


สังขยาฟักทอง
ส่วนผสม
ฟักทองลูกเล็ก น้ำหนักมาณ 500 กรัม 1 ลูก
ไข่ไก่ 4 ฟอง
หัวกะทิ 1/2 ถ้วย
น้ำตาลปึก 3/4 ถ้วย

วิธี ทำ
1.ล้างฟักทองให้สะอาด เจาะขั้วออก ตักไส้ออกให้หมด ล้างให้สะอาด คว่ำไว้ให้แห้ง
2.ต่อยไข่ใส่ชาม ผสมไข่ น้ำตาล หัวกะทิ เข้าด้วยกัน กรองด้วยผ้าขาวบางพัก ไว้
3.วางฟักทองลงในชาม ตั้งน้ำให้เดือด ใส่ชามฟักทองลงในลังถึง แล้วเทสัง-ขยาใส่ลงในฟักทองให้เต็ม นึ่งไฟกลางๆ จนสังขยาแข็งอยู่ตัว ลดไฟลงหนึ่งต่อจนสุก ใช้ เวลานึ่งนานประมาณ 25-30 นาที

14 ก.ค. 2553

แป้งที่ใช้ทำขนมไทย

แป้งที่ใช้ทำขนมไทย
แป้งที่ใช้ทำขนมไทยนั้น มีหลายแบบ ขึ้นอยู่กับชนิดของขนม จะต้องเลือกใช้แป้งชนิดใดเป็นส่วนประกอบ หลักมีดังนี้

1.แป้งข้าวเจ้า
เป็นแป้งที่ใช้ทำขนมไทยมากที่สุด แป้งข้าวเจ้า ยังแบ่งออกได้ 2 ชนิด คือ แป้งข้าวเจ้าสดและแป้งข้าวเจ้าแห้ง แต่ในปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่จะมีขาย แป้งข้าวเจ้าแห้ง แป้งข้าวเจ้าสดจะหาซื้อได้ยากสมัยก่อนจะใช้แต่แป้งสด โดยมีวิธีทำดังนี้ นำข้าวสารมาให้สะอาดล้าง แล้วแช่น้ำค้างคืนไว้ จึงนำมาโม่ให้ละเอียด แล้วใส่ถุงผ้า หาของหนักๆมาทับน้ำออกก็จะได้แป้งสดนำไปทำขนมได้เลยลักษณะของแป้ง แป้งมีสีขาว มีลักษณะสากมือ เป็นผงหยาบกว่าแป้งสาลี

2.แป้งข้าวเหนียว
เป็นแป้งที่ใช้ทำขนมไทยอยู่หลายชนิด ซื่งส่วนใหญู่มักใช้แป้งแห้ง แต่ถ้าจะใช้แป้งสดก็นำข้าวสารเหนียวล้างน้ำให้สะอาด แล้วแช่น้ำค้างคืนไว้ จึงนำไปโม่ให้ละเอียด แล้วนำไปใส่ถุงผ้า หาของหนักๆมาทับน้ำออกก่อนก็นำไปทำขนมต่างๆได้
ลักษณะของแป้ง แป้งมีสีขาวนวล มีลักษณะสากมือน้อยกว่าแป้งข้าวเจ้า

3.แป้งถั่ว
เป็นแป้งที่ทำมาจากถั่วเขียว นิยมนำมาทำสลิ่ม ตัวตโก้ ขนมเทียนแก้วเป็นต้น ขนมที่ใส่แป้งถั่ว มีลักษณะใส ลักษณะของแป้งถั่ว จะมีสีขาวเป็นเงา เนี่ยนลื่นมือ


4.แป้งเท้ายายม่อม
เป็นแป้งที่ใส่ในขนมแล้วจะทำให้ใสคลัายกับแป้งถั่ว เป็นแป้งที่ทำมาจากหัวแป้งเท้ายายม่อม จะเก็บหัวได้ปีละครั้ง โดยมีวิธีการทำดังนี้ นำหัวเท้ายาย-ม่อม มาฝนกับกระต่ายจีน แล้วนำไปแช่น้ำไว้จนใสและแป้งนอนกันจึงเทน้ำทิ้ง ทำเช่นนี้ประมาณ 4-5 ครั้ง จึงนำแป้งที่ได้ไปตากแดดจนแห้ง แป้งเท้ายายม่อมเป็นแป้งที่มีราคาแพงเพราะมีขั้นตอนการทำที่ยุ่งยาก ลักษณะของแป้งเท้ายายม่อม จะมีสีขาว เป็นลักษณะเม็ดสี่เหลี่ยมเล็กๆ

27 มิ.ย. 2553

กล้วยบวชชี



กล้วยบวชชี
กล้วยบวชชีเป็นขนมไทยพื้นบ้านที่หากินได้ง่ายๆ เราสามารถทำกินเองที่บ้านได้ไม่ยากเช่นกัน วิธีการก็ง่ายๆ ดังนี้

ส่วนผสม
กล้วยน้ำว้าสุกพอห่ามๆ 1 หวี
หัวกะทิ 1 ถ้วย
หางกะทิ 1 1/2 ถ้วย
ตาลทราย 1/2 ถ้วย
งาขาวคั่วบุบพอแตก 1 ช้อนโต๊ะ
ข้าวโพดต้มสุกหั่นบางๆ 1/2 ถ้วย
เกลีอป่น 1 ช้อนชา
ใบเตย 3 ใบ

วิธีทำกล้วยบวชชี
1. ต้มกล้วยทั้งเปลือกให้สุกประมาณ 20 นาที
2. ใส่หางกะทิลงในกระทะทอง ใส่ใบเตยที่หั่นเป็นท่อนๆ ใช้ไฟปานกลาง ต้มจนเดีอด
3. ปอกเปลือกกล้วยที่ต้มแล้ว ตัดให้เป็น 4 ชิ้น/ลูก จากนั้นนำไปใส่ลงในหม้อที่ต้มหางกะทิ ต้มต่อใช้เวลาประมาณ 5 นาที
4. ใส่น้ำตาลทรายลงไป คนให้น้ำตาลทรายละลาย ต้มต่อให้เดือด
5. เติมหัวกะทิ เกลือลงไป คนให้เข้ากัน ยกลงจากเตา
6. ตักกล้วยบวชชีใส่ถ้วย โรยหน้าด้วยงาคั่ว ใส่ข้า้วโพดหั่นลงไป

***เคล็ดลับการทำกล้วยบวชชี
-การทำกล้วยบวชชีนั้น ต้องต้มกล้วยทั้งเปลือกก่อน กล้วยจะได้ไม่ดำ ทำให้แลดูน่ากิน
-งาที่จะใช้โรยหน้ากล้วยบวชชีนั้น จะเลือกใช้งาขาวหรืองาดำก็ได้ แต่คั่วแล้วให้บุบพอแตก งาจะได้หอมชวนกิน และกรอบอร่อย
-หลังจากใส่หัวกะทิแล้วต้องรีบยกลงจากเตาทันที จะทำให้กะทิขาวสวย น่ากิน

21 มิ.ย. 2553

ขนมไทย เอกลักษณ์ไทย

ขนมไทย
ขนมไทย เป็นขนมที่มีตั้งแต่สมัยโบราณ สืบทอดกันมากนานจากรุ่นสู่รุ่น ขนมไทยมีอยู่มากมายหลายชนิด เป็นวัฒนธรรมประจำชาติและเกิดจากภูมิปัญญา ขนมไทยจึงนับเป็นความภูมิใจของคนไทย ขนมไทยจะมีลักษณะสวยงาม กลิ่นหอม รสหวาน น่ารับประทาน ขนมไทยเป็นขนมที่ต้องใช้ความประณีตบรรจง ละเอียดลออในการทำเป็นอย่างมาก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการทำ นอกจากนี้เกี่ยวข้องถึง
วัฒนธรรม ประเพณี ของไทยเราอีกด้วย โดยจะเห็นว่าเมื่อถึงช่วงเทศกาล งานบุญ งานมงคลต่างๆ คนไทยเรามักจะทำบุญ เลี้ยงพระ ด้วยขนมไทยที่ถูกจดขึ้นอย่างประณีต และสืบทอดกันมานาน และในขนมไทยแต่ละอย่างก็จะแฝงความหมายในทางที่เป็นศิริ มงคลทั้งสิัน เช่น งานแต่งงาน ขนมที่ใช้ในงานมักจะมี ขนมกง ขนมสามเกลอ ขนมชะมด งานพิธีฉลองเลื่อนขั้น ขนมที่ใช้จะเป็นขนมชั้น ขนมจ่ามงกุฎ ขนมทองเอก เป็นต้น

ขนมไทยต่างๆเหล่านี้ นอกจากจะมีความหมายในทางที่ดีแล้ว ยังเป็นขนมที่มีสีสันสวยงาม รสชาติอร่อย และประณีต การทำขนมไทยนั้นต้องอาศัยความชำนาญ ตั้งแต่การเลือกซื้อส่วนผสมต่างๆ เครื่องมือในการทำต้องรู้เทคนิคการทำ ซึ่งต้องใช้ความละเอียดอ่อน ความช่างสังเกต และการลง มือ ปฏิบัติ

ขนมไทยมีความละเอียดประณีต จนบางครั้งยากที่เทคโนโลยีสมัยใหม่จะเข้ามาทดแทนได้ เช่น การใช้กลิ่นร่ำควันเทียน การใช้น้ำด่างที่ทำจากขี้เถ้าถ่าน ใบตอง ไม้กลัด น้ำปูนใส กลิ่นหอมใบเตย การลอยดอกมะลิ หรือแม้กระทั่งสีดำที่ได้จากการเผากาบมะพร้าว
สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นเอกลักษณ์ของขนมไทยอย่างแท้จริง

ส่วนผสมของขนมไทยในสมัยก่อนมีอยู่ 3 อย่าง คือ แป้ง น้ำตาล และมะพร้าว ซึ่งเป็นส่วนผสมหลักที่ขาดไม่ได้ ทั้ง 3 สิ่งนี้ถูกนำมาใช้ ซึ่งวิธีการทำที่อาจจะแตกต่างกันไปบ้าง จึงเกิดขนม
ไทยมากมายหลายชนิด ต่อมาเมื่อไทยเราได้มีการติดต่อกับชาวต่างชาติ ก็ได้รับอิทธิพลการทำขนมบางอย่างทำให้มีการเพิ่มส่วนผสม จากเดิมเพียง 3 อย่าง ก็ได้มีไข่และส่วน
ผสมอื่นๆเพิ่มเข้ามาอีก เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมเหล่านีได้รับอิทธิพลมาจากชาวโปรตุเกส นอกจากนี้ยังมีขนมอีกหลายชนิด ที่ไม่ใช่ขนมไทย้ คนในสมัยนี้นึกเข้าใจผิดว่า
เป็นขนมไทยก็เนื่องมาจากการที่คนไทยเป็นคนช่างคิด ช่างดัดแปลง ทำให้ขนมเหล่านั้นถูกปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจนมีลักษณะที่ไม่เหมือนต้นตำรับ และได้กลายเป็นขนมไทยเราไป
เช่น สังขยา ขนมหม้อแกง ทองหยอด ทำให้ขนมไทยมีมากมายหลายชนิดจนนับไม่ถ้วนเพราะขนมไทยมีความพิถีพิถัน ละเอียดอ่อนประณีตในการทำและด้วยความที่มีลักษณะเฉพาะที่เป็นเอกลักษณ์ของตน
เอง ชนชาติอื่นๆจึงไม่สามารถลอกเลียนเเบบได้ ทำให้ขนมไทยไม่แพร่หลายกลายเท่าที่ควร เราเป็นคนไทยต้องรู้จักอนุรักษ์ขนมไทยเราไว้อย่าให้วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์เหล่านี้สูญหายไป

8 มิ.ย. 2553

ขนมฝอยทอง


ขนมฝอยทอง
ขนมฝอยทองเป็นขนมหวานสัญชาติโปรตุเกตุ ที่คนไทยเข้าใจผิดมานาน ว่าเป็นขนมบ้านเรา แต่ขนมฝอยทองก้เป็นขนมที่ถุกปากคนไทยเพราะความหวานอร่อยจากน้ำตาลและไข่ไก่ มาดูส่วนผสมและวิธีการทำขนมฝอยทอง

ส่วนผสม
ไข่ไก่สดใหม่ 20 ฟอง
น้ำตาลทราย 5 ถ้วย
น้ำลอยดอกมะลิ 3 ถ้วย

อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมเพิ่มเติม :ไม้ปลายแหลม กรวยใบตองหรือกรวยโลหะ

วิธีทำ
1.ต่อยไข่ไก่ใส่ชาม แยกไข่ขาวไข่แดงออกจากกัน รีดเอาเยื่อออก นำไข่แดงผสมกับไข่น้ำค้างใน อัตราส่วน ไข่แดง 3 ฟอง/ไข่น้ำค้าง 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน
2.กระทะทองตั้งไฟ ใส่น้ำตาล น้ำลอยดอกมะลิ น้ำตาลละลาย พอเดือดยกลง กรองด้วยผ้าขาวบางให้สะอาด นำขึ้นตั้งไฟอีกครั้ง เคี่ยวต่อไปเรื่อยๆจนมีลักษณะข้น
3.ใส่ไข่แดงที่ผสมไว้ (ข้อ1) ลงในกรวยสำหรับโรยไข่ แล้วโรยลงในน้ำเชื่อมจนเต็มกระทะทอง วิธีการโรยให้โรยแบบวนรอบกระทะ รอให้เดือดนาน 2 นาที ใช้ไม้
ปลายแหลมตักขึ้น พับให้เป็นแพเล็กๆ จัดเรียงใสกระจาดหรือกระด้งที่ปูรองด้วยใบตอง


**หมายเหตุ**
1.ไข่น้ำค้าง คือ ไข่ขาวใสๆที่ติดค้างอยู่กับเปลือกไข่ส่วนป้านซึ่งไข่แต่ละฟองจะมีอยู่ในปริมาณที่ไม่เท่ากัน
2.ไข่ที่ทำฝอยทองควรเป็นไข่ไก่ที่สดใหม่ จะทำให้เส้นฝอยทองกลมสวย เพราะถ้าเป็นไข่เก่าไข่แดงจะเหลวเพราะมีน้ำอยู่มาก ทำให้เส้นฝอยทองขาด วิธีแก้ไข ต้องลดปริมาณไข่น้ำค้างลงแล้วเพิ่มปริมาณไข่แดง
3.เทคนิคในการโรยฝอยทอง ควรใช้ไฟที่ร้อนมากขึ้นเฉพาะตรงกลางกระทะ เพื่อให้น้ำเชื่อมมีฟองตรงกลาง เมื่อโรยไข่ ฟองน้ำเชื่อมจะดันฝอยทองลอยไปอยู่ขอบกระทะ ซึ่งช่วยให้ไข่ที่โรยใหม่ไม่ทับกันนอกจากนี้เส้นฝอยทองที่ได้ยังกลมสวย

3 มิ.ย. 2553

ขนมทองหยิบ


ขนมทองหยิบ

ประวัติขนมทองหยิบ

ขนมทองหยิบ เป็นขนมหวานขื้นชื่อที่ นิยมรับประทานกันอีกชนิดหนึ่ง ความหวานของบขนมทองหยิบ แพร่หลายมาถึงปัจจุบันถือเป็นหนึ่งของร่องรอยที่ชาวโปรตุเกสทิ้งไว้

ท้าวทองกีบม้า หรือ มารี เดอร์ กีมาร์ ภริยาเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ขุนนางฝรั่งผู้มีบทบาทอย่างมากในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งท้าวทองกีบม้านี่เองที่สอนให้คนไทยทำขนมเหล่านี้

“ท้าวทองกีบม้า” หรือ “มารี เดอร์ กีมาร์” เกิดเมื่อพุทธศักราช 2201 แต่บางแห่งก็ว่า พุทธศักราช 2209 โดยยึดหลักกับปีที่แต่งงานกับเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ เมื่อปี พุทธศักราช 2225 ซึ่งขณะนั้น มารีมีอายุเพียง 16 ปี เท่านั้นเอง

บิดา ชื่อ “ฟานิก” (phanick) เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นผสมแขกเบงกอล มารดาชื่อ “อุรสุลา ยา มาดา” (Ursala Yamada) ซึ่งมีเชื้อสายญี่ปุ่นผสมโปรตุเกส ที่อพยพตั้งถิ่นฐานในอยุธยา ช่วงชีวิตหนึ่งของ

“ท้าวทองกีบม้า” ได้ไปรับราชการในสำนักพระราชวังตำแหน่ง “หัวหน้าห้องเครื่องต้น” ดูเครื่องเงินเครื่องทองของหลวง เป็นหัวหน้าเก็บพระภูษาฉลองพระองค์และเก็บผลไม้เสวย มีพนักงานอยู่ภายใต้บังคับบัญชาเป็นหญิงล้วน ซึ่งเธอทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ยกย่องเชิดชู

ระหว่างที่รับราชการนางมารีได้สอนการทำขนมหวานจำพวกทองหยอด ทองหยิบ ทองพลุ ทองโปร่ง ขนมผิง และอื่นๆ ให้กับคนไทยได้นำมาถ่ายทอดต่อมาแต่ละครอบครัวและกระจายไปในหมู่คนไทยมาจนถึงทุกวันนี้


ส่วนผสมขนมทองหยิบ

ไข่ไก่ 20 ฟอง
น้ำตาลทราย 1 กก.
น้ำลอยดอกมะลิ 2.5 ถ้วย

สิ่งที่ต้องเตรียม
ถาด, ถ้วยตะไล, ช้อน,ส้อม

วิธีทำ
1.ต่อยไข่ใส่ชาม แยกไข่ขาว ไข่แดง รีดเอาเยื่อออก แล้วตีไข่แดงให้ขึ้นฟู
2.ใส่น้ำตาล น้ำลอยดอกมะลิ ลงในกระทะทอง ตั้งไฟ พอเดือนและมีลักษณะข้น
3.เมื่อน้ำเชื่อมข้นได้ที่ ปิดไฟ ให้น้ำเชื่อมนิ่ง เริ่มตักไข่หยดลงทีละช้อน โดยหยอดนิ่งๆ ปล่อยไข่แดงไหลง แผ่นไข่ก็จะกลม หยอดจนเต็มกระทะ เปิดไฟ ให้น้ำเชี่อมเดือด ลดไฟลง คอยใช้ทัพพีตักน้ำเชื่อมราด พอขนมสุกฟู ใช้ส้อมตักใส่ถาดโดยอย่าให้ทับกัน พออุ่นหยิบเป็นจีบ 5 จีบ ใส่ถ้วยตะไล ทำจนหมด

**หมายเหตุ **
1. ถ้าไม่มีน้ำลอยดอกมะลิ ใช้ใบเตยต้มกับน้ำเชื่อมแทนก็ได้ เพราะช่วยดับกลิ่นคาวของไข่ได้
2. การตีไข่ ถ้าใช้เครื่องตีไข่จะสะดวกและเร็วกว่าการตีด้วยมือ
3. การแยกไข่ขาวกับไข่แดง ต้องแยกไข่ขาวออกให้หมด เพราะถ้ามีไข่ขาวก็จะทำให้ขนมทองหยิบแข็งกระด้าง ไม่น่ากิน


ขอบคุณประวัติขนมทองหยิบจาก thaigoodview.com/node/12013

2 มิ.ย. 2553

ทองหยอด


ทองหยอด
ส่วน ผสม .
ไข่ไก่ 20 ฟอง
แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย

ส่วนผสมน้ำเชื่อมใส
น้ำตาลทราย น้ำ อย่างละ 3 ถ้วย
ใบเตยหั่นเป็นท่อนๆ 4-5 ใบ
ใส่น้ำตาล น้ำ ใบเตย ลงในหม้อ ตั้งไฟ พอเดือดและน้ำตาลละลาย ยกลง
กรอง ทิ้งไว้ให้เย็น ไว้สำหรับแช่ทองหยอด

ส่วนผสมน้ำเชื่อมข้น
น้ำตาลทราย 5 ถ้วย
น้ำ 2 .5 ถ้วย ใบเตยหั่นเป็นท่อน 4-5 ใบ
ใส่น้ำตาล น้ำ ใบเตย ลงในหม้อ ตั้งไฟ พอเดือดและน้ำตาลละลาย ยกลง
กรอง ทิ้งไว้ให้เย็น ไว้สำหรับหยอดทองหยอด

วิธี ทำ
1. ต่อยไข่ใส่ชาม แยกไข่ขาว ไข่แดง รีดเอาเยื่อออก
2. ตีไข่แดงให้ขึ้นฟู แบ่งไข่แดงมาผสมทีละถ้วย โดยตวงไข่แดงที่ตีขึ้นฟู 1 ถ้วย
ผสมแป้งข้าวเจ้า 1 /3 ถ้วย คนให้เข้ากัน หยุดลงในน้ำเชื่อมข้นที่เดือดพล่าน โดยใช้นิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้และนิ้วกลางปาดส่วนผสมออกจากถ้วย แล้วสะบัดลงในน้ำเชื่อม หยอดจนหมด รอจนสุก ตักขึ้นแช่ในน้ำเชื่อมใส เมื่อทองหยอดเย็นดี ตักขึ้น

****หมายเหตุ

1. น้ำเชื่อมขณะที่หยอดขนมจะต้องเดือดพล่าน มีฟองเต็มกระทะ จึงจะประคองให้ขนมทองหยอดได้รูปทรงอยู่ตัว
2. การผสมแป้งกับไข่แดงต้องคนให้เข้ากันจนเนื้อเนียน แต่อย่า คนให้นานเกินไป เพราะทำให้แป้งเหนียว
3. ขณะที่รอให้ขนมทองหยอดสุก ควรพรมน้ำไปทีละน้อย จนกว่าขนมทองหยอดจะสุก เพื่อไม่ใหัน้ำเชื่อมข้นเกินไป